อับราฮัม ลิงคอล์น

อับราฮัม ลิงคอล์น ได้ติดตามในความพยายามในการทำสงครามเพื่อชัยชนะอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกนายพลระดับสูง รวมไปถึง ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ นักประวัติศาสตร์สรุปเอาไว้ว่า ลิงคอล์นได้เข้าไปช่วยเหลือแต่ละกลุ่มในพรรครีพับลิกันเป็น อย่างดี การนำมาของผู้นำแต่ละกลุ่มเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรีของเขา และบังคับให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมมือกัน ลิงเคิล์นประสบความสำเร็จ ในการลดความรุนแรงของสงครามที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว (Trent Affair) กับสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1864
ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับสงคราม (Copperheads) ได้วิจารณ์ลิงเคิล์นเกี่ยวกับการปฏิเสธการทำข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายการเลิกทาส ความขัดแย้งโดยเฉพาะพวกรีพับลิกันที่เป็นพวกหัวรุนแรง หัวหน้ากลุ่มที่มีความคิดในการเลิกทาสในพรรครีพับลิกัน ได้วิจารณ์ว่าลิงเคิล์นออกมาเคลื่อนไหวช้าเกินไป การเอาสิ่งกีดขวางมากั้นถนนไว้ ลิงเคิล์นประสบความสำเร็จ ในการปลุกระดมมวลชนโดยการพูดโน้มน้าวใจประชาชนในที่สาธารณะ ยกตัวอย่างเช่น Gettysburg Address แต่นี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ลิงเคิล์นมองหาจังหวะในการเร่งให้มีการจัดการชุมนุมอีกครั้ง
อับราฮัม ลิงคอล์น เป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญราคา 1 เซนต์ ชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และเรือบรรทุกเครื่องบิน
มารี คูรี
มารี คูรี เป็นบุตรีของศาสตราจารย์ วลาดิสลาฟ สโคลโดว์สกา มารีได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาวิทยาศาสตร์จากบิดาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอสนใจวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยซอร์บอน ประเทศฝรั่งเศส เธอได้พบรักกับ ปีแอร์ คูรี่ นักเคมีและฟิสิกส์ ทั้งสองแต่งงานกันในปี 1895มารีและปิแอร์ร่วมกันค้นคว้าเกี่ยวกับรังสียูเรเนียม ทั้งสองพบแสงที่ปรากฏออกมาจากธาตุยูเรเดียม ทำให้ภาพถ่ายมีรอยเมื่อห่ออยู่ในกระดาษสีดำ มารีจึงตัดสินใจค้นคว้าเพื่อทำวิทยานิพนธ์ ในปีค.ศ. 1879 มาดามคูรีให้กำเนิดบุตรสาวชื่อไอรีน ซึ่งต่อมาไอรีนกลายเป็นนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงได้รับรางวัลโนเบลไพร๊ซ์ในปีค.ศ.1935
บินลาเดน
โอซามา บิน ลาเดน เป็นลูกคนที่ 17จาก 57คน ของ มูฮัมหมัด บิน ลาเดน นักธุรกิจก่อสร้างชาวซาอุดีอาระเบีย ตระกูลของของเขาร่ำรวยมหาศาล และมีสายสัมพันธ์อันดี กับราชวงศ์กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย
ปี 1980 กองทัพสหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน บิน ลาเดน ในวัยหนุ่ม ตัดสินใจเข้าร่วมกับขบวนการต่อต้านโซเวียต ของชาวอัฟกานิสถาน นอกจากสนับสนุนเงินจำนวนมหาศาลแล้ว เขายังจับอาวุธร่วมฝึก และร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ กับนักรบมูจาฮีดีนในสมรภูมิสุดโหด ต่อสู้กับกองทัพสหภาพโซเวียต ที่มีจำนวนมากกว่า และอาวุธทันสมัยกว่าอย่างไม่หวั่นเกรง
ระหว่างสงคราม บิน ลาเดน ได้จัดตั้งกลุ่ม al-Qaida ที่แปลว่า ฐานที่มั่น รวบรวมกลุ่มอาสาสมัครนักรบอาหรับ ที่ร่วมต่อสู้กับทหารโซเวียตเข้าเป็นพรรคพวก ชนวนแค้นที่ บิน ลาเดน มีต่ออเมริกาเกิดขึ้นในปี 1990 เมื่อกองทัพอิรักเข้ายึดคูเวต นำไปสู่สงครามอ่าวเปอร์เซีย บิน ลาเดน ขอให้กษัตริย์ซาอุฯ ระดมกองกำลังจากกลุ่มของเขา เพื่อป้องกันประเทศ แต่กษัตริย์ซาอุฯ กลับเชื้อเชิญกองทัพอเมริกันเข้ามาแทน
หลังสหรัฐอเมริกาชนะสงคราม ยังถือโอกาสตั้งฐานทัพอยู่ในซาอุฯ อย่างถาวร ทำให้ บิน ลาเดน ไม่พอใจอย่างมาก เขาเห็นว่าคนนอกศาสนาเหล่านี้ เข้ามาสร้างความแปดเปื้อน ให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกมุสลิม บิน ลาเดน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ซาอุฯ ในเรื่องนี้ ไม่นานรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศยกเลิกฐานะความเป็นพลเมืองของเขา
ปี 1996 บิน ลาเดน ประกาศ "ฟัตวา" หรือประกาศิตทางศาสนา เรียกร้องให้ชาวมุสลิมสังหารทหารอเมริกันในซาอุฯ และโซมาเลีย อีกสองปี เขาประกาศฟัตวาครั้งที่ 2 เรียกร้องให้ชาวมุสลิมทั่วโลก ฆ่าพลเรือนอเมริกันทุกคนที่พบเห็น สหรัฐฯ เชื่อว่า บิน ลาเดน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมรุนแรงหลายครั้ง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น