วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บุคคลที่โลกไม่ลืม


อับราฮัม ลิงคอล์น 


อับราฮัม ลิงคอล์น (อังกฤษ: Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 จนกระทั่งถูกยิงเสียชีวิต ลินคอร์น ประกาศว่าเขาต่อต้านระบบทาสในสหรัฐอเมริกา[1][2]ลินคอร์นชนะตัวแทนจากพรรครีพับลิกันในปี ค.ศ. 1860 และได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีใน ปีถัดมา ระหว่างการดำรงตำแหน่ง ลินคอร์นได้ช่วยรักษาประเทศ โดยการเป็นผู้นำในการถอนตัวออกจากผู้สบคบร่วมคิดในสงครามประชาชนอเมริกัน ของรัฐบาลกลางสหรัฐในสงครามอเมริกัน เขายังได้แนะนำมาตรการในการเลิกทาส ซึงนโยบายอันนี้ได้ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1863 และได้รับการผลักดันให้บรรจุเข้าไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 ในปี ค.ศ. 1865
อับราฮัม ลิงคอล์น ได้ติดตามในความพยายามในการทำสงครามเพื่อชัยชนะอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกนายพลระดับสูง รวมไปถึง ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ นักประวัติศาสตร์สรุปเอาไว้ว่า ลิงคอล์นได้เข้าไปช่วยเหลือแต่ละกลุ่มในพรรครีพับลิกันเป็น อย่างดี การนำมาของผู้นำแต่ละกลุ่มเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรีของเขา และบังคับให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมมือกัน ลิงเคิล์นประสบความสำเร็จ ในการลดความรุนแรงของสงครามที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว (Trent Affair) กับสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1864
ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับสงคราม (Copperheads) ได้วิจารณ์ลิงเคิล์นเกี่ยวกับการปฏิเสธการทำข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายการเลิกทาส ความขัดแย้งโดยเฉพาะพวกรีพับลิกันที่เป็นพวกหัวรุนแรง หัวหน้ากลุ่มที่มีความคิดในการเลิกทาสในพรรครีพับลิกัน ได้วิจารณ์ว่าลิงเคิล์นออกมาเคลื่อนไหวช้าเกินไป การเอาสิ่งกีดขวางมากั้นถนนไว้ ลิงเคิล์นประสบความสำเร็จ ในการปลุกระดมมวลชนโดยการพูดโน้มน้าวใจประชาชนในที่สาธารณะ ยกตัวอย่างเช่น Gettysburg Address แต่นี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ลิงเคิล์นมองหาจังหวะในการเร่งให้มีการจัดการชุมนุมอีกครั้ง
          อับราฮัม ลินคอร์นถูกยิงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1865 เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกลอบสังหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และทำให้เขากลายเป็นผู้เสียสละเพื่อความสามัคคีของคนในชาติในความคิดของประชาชนคนรุ่นหลัง
อับราฮัม ลิงคอล์น เป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญราคา 1 เซนต์ ชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และเรือบรรทุกเครื่องบิน


  มารี  คูรี




  มารี  คูรี เป็นบุตรีของศาสตราจารย์ วลาดิสลาฟ  สโคลโดว์สกา  มารีได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาวิทยาศาสตร์จากบิดาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอสนใจวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยซอร์บอน ประเทศฝรั่งเศส เธอได้พบรักกับ ปีแอร์ คูรี่ นักเคมีและฟิสิกส์  ทั้งสองแต่งงานกันในปี 1895มารีและปิแอร์ร่วมกันค้นคว้าเกี่ยวกับรังสียูเรเนียม ทั้งสองพบแสงที่ปรากฏออกมาจากธาตุยูเรเดียม  ทำให้ภาพถ่ายมีรอยเมื่อห่ออยู่ในกระดาษสีดำ  มารีจึงตัดสินใจค้นคว้าเพื่อทำวิทยานิพนธ์  ในปีค.ศ. 1879  มาดามคูรีให้กำเนิดบุตรสาวชื่อไอรีน  ซึ่งต่อมาไอรีนกลายเป็นนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงได้รับรางวัลโนเบลไพร๊ซ์ในปีค.ศ.1935      
        ทั้งสองศึกษาและค้นคว้าอย่างจริงจังจนพบแร่ที่เรียกว่า  "พิทซ์เบลนด์ "มารีให้ชื่อแร่ที่พบว่าโปโลเนี่ยม  และเปลี่ยนมาเป็นเรเดียมซึ่งมีคุณสมบัติสูงกว่ายูเรเดียมถึง2ล้าน5แสนเท่า  ทั้งคู่พบรังสีเรเดียมที่ทำให้รู้สึกร้อนต่อผิวหนัง  คุณสมบัตินี้นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเนื้อร้ายได้ช่วยให้คนรอดชีวิตเป็นจำนวนมาก  ทั้งสองได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ. 1903  และด้รับเหรียญเดวีจากสมาคมวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ  ในปีค.ศ. 1906 ปีแอร์ประสบอุปัทวเหตุเสียชีวิต  มารีเสียใจมากจนเกือบจะทิ้งผลงานที่ค้างไว้  แต่หลังจากนั้นเธอก็หันกลับมาค้นคว้างานของเธอ  จนประสบความสำเร็จอีกครั้งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีใปี1911 ภายหลังมารีได้ป่วยจากการอ่อนเพลีย  หมดแรงอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากเธออยู่กับรังสีของแร่เรเดียมมากจนในค.ศ.1934เธอก็เสียชีวิตลง

ฮิตเลอร์ 

ฮิตเลอร์  เป็นคนออสเตรียเช้อสายเยอรมัน พ่อตายตั้งแต่ยังเด็กอาศัยอยู่กับแม่  ต่อมาแม่ก็จากฮิตเลอร์ไปฮิตเลอร์อาศัยตัวเอง  โดยความลำบาก เป็นช่างทาสี  เห็นพวกยิวได้งานที่แย่งคนเยอรมันและมีความเป็นอยู่ดีกว่าชนชาติเยอรมันเจ้าของดินแดนฮิตเลอร์เกิดการเครียดแค้น   ฮิตเลอร์ขณะนั้นได้ไปเป็นทหารสงครามโลกครั้งที่1ได้อาศัยความกล้าหาญช่วยหัวหน้ากองของเขาออกจากการปิดล้อมของข้าศึก และได้ใช้ความกล้าหาญในการรบ จนได้เหรียญกล้าหาญ และได้รับเลื่อนยศเป็นสิบตีของกองทัพเยอรมัน  แต่ฮิตเลอร์ได้รับบาดเจ็บจากสงครามทำให้ฮิตเลอร์เกือบตาบอด   หลังสงครามโลกครั้งที่1  ฮิตเลอร์ได้ทำงานโดยไม่มีหลักแหล่งและได้เก็บผลงานหนังสือ คือชื่อหนังสือ  เผ่าพันธ์อารยันอันบริสุทธิ์ และได้ศึกษาค้นคว้าชนชาติอารยันเรื่อยมา    และได้ตัดสินใจครั้งใหญ่คือการทำงานด้านการเมืองโดยเขากับพลักการเมือง พักแรงงาน  และได้เลื่อนขึ้นเป็น หัวหน้าโฆษณาของพรรค  ฮิตเลอร์ได้รู้จักกับ   รูดอฟเฮลล์ซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซี ตอนนั้นฮิตเลอร์ได้ค้นพบพรสรรค์ของตนเองคือการพุดในมราชุมชนฮิตเลอร์ได้เรียนการพูดวาทะศิลป์และได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน  และเขาต้องติดคุกเพราะก่อการรัฐประหารแต่ฮิตเลอร์พลาดจนต้องติดคุกถึง9เดือนซึ่งฮิตเลอร์กล่าวไว้ว่า*รัฐบาลส่งข้าพเจ้าเข้าสถานเรียนรู้*    และได้อ่านหนังสือที่เขาสนใจ  หลังออกจากคุกฮิตเลอร์ได้เป็นที่รู้จักเพราะเขาถูกติดคุกเพราะมีอุดมการณ์ทางการเมืองและได้ก่อตั้งพรรคนาซีขึ้นโดยการหาเสียงฮิตเลอร์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีและได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของเยอรมัน  และได้จัดตั้งรัฐบาลโดยใช้นโยบายชนชาติปกครองคือชนชาติอารยัน  และจำกัดสิทธิ์ของชาวยิว     ห้ามทำงานกรีดกันพวกยิว  และได้จัดตั้งหน่วยs.sขึ้นเพื่อการยึดครองดินแดนภาคตะวันออกโดยมีหัวหน้าผู้นำS.sคือ ไฮลิตต์  ฮิมเลอร์เป็นหัวหน้าโดยนำชาวยิวมาฆ่าหมู่ในเขตกักกัน  ฮิมเลอร์ไม่ชอบการยิงโดยนำการฆ่าแบบรมแก็สหมู่ให้ตายจำนวนมากๆ  ส่วนฮิตเลอร์นั้นใช้นโยบายการสุขอนามัยการบำรุงครรภ์  โดยพวกที่ด้อยจะถูกทำหมัน   และเด็กที่มีปัญหาจะถูกฆ่าตาย  คนแก่จะค่อยๆถูกกำจัดเพื่อให้เป็นชนชาติอารยันที่สมบูรณ์ 
  
บินลาเดน



โอซามา บิน ลาเดน เป็นลูกคนที่ 17จาก 57คน ของ มูฮัมหมัด บิน ลาเดน นักธุรกิจก่อสร้างชาวซาอุดีอาระเบีย ตระกูลของของเขาร่ำรวยมหาศาล และมีสายสัมพันธ์อันดี กับราชวงศ์กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย 


ปี 1980 กองทัพสหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน บิน ลาเดน ในวัยหนุ่ม ตัดสินใจเข้าร่วมกับขบวนการต่อต้านโซเวียต ของชาวอัฟกานิสถาน นอกจากสนับสนุนเงินจำนวนมหาศาลแล้ว เขายังจับอาวุธร่วมฝึก และร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ กับนักรบมูจาฮีดีนในสมรภูมิสุดโหด ต่อสู้กับกองทัพสหภาพโซเวียต ที่มีจำนวนมากกว่า และอาวุธทันสมัยกว่าอย่างไม่หวั่นเกรง 


ระหว่างสงคราม บิน ลาเดน ได้จัดตั้งกลุ่ม al-Qaida ที่แปลว่า ฐานที่มั่น รวบรวมกลุ่มอาสาสมัครนักรบอาหรับ ที่ร่วมต่อสู้กับทหารโซเวียตเข้าเป็นพรรคพวก ชนวนแค้นที่ บิน ลาเดน มีต่ออเมริกาเกิดขึ้นในปี 1990 เมื่อกองทัพอิรักเข้ายึดคูเวต นำไปสู่สงครามอ่าวเปอร์เซีย บิน ลาเดน ขอให้กษัตริย์ซาอุฯ ระดมกองกำลังจากกลุ่มของเขา เพื่อป้องกันประเทศ แต่กษัตริย์ซาอุฯ กลับเชื้อเชิญกองทัพอเมริกันเข้ามาแทน 


หลังสหรัฐอเมริกาชนะสงคราม ยังถือโอกาสตั้งฐานทัพอยู่ในซาอุฯ อย่างถาวร ทำให้ บิน ลาเดน ไม่พอใจอย่างมาก เขาเห็นว่าคนนอกศาสนาเหล่านี้ เข้ามาสร้างความแปดเปื้อน ให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกมุสลิม บิน ลาเดน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ซาอุฯ ในเรื่องนี้ ไม่นานรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศยกเลิกฐานะความเป็นพลเมืองของเขา 


ปี 1996 บิน ลาเดน ประกาศ "ฟัตวา" หรือประกาศิตทางศาสนา เรียกร้องให้ชาวมุสลิมสังหารทหารอเมริกันในซาอุฯ และโซมาเลีย อีกสองปี เขาประกาศฟัตวาครั้งที่ 2 เรียกร้องให้ชาวมุสลิมทั่วโลก ฆ่าพลเรือนอเมริกันทุกคนที่พบเห็น สหรัฐฯ เชื่อว่า บิน ลาเดน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมรุนแรงหลายครั้ง...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น